วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น จังหวัดกาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-01-กาญจนบุรี1
ถ้าพูดถึงน้ำตกในจังหวัดกาญจนบุรี เมืองแห่งสะพานประวัติศาสตร์ แห่งนี้ หลายๆ คนอาจจะไม่คุ้นชื่อน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เพราะน้ำตกที่หลายๆ คนคุ้นเคย และน่าจะเคยมากันบ้างแล้วของจังหวัดกาญจนบุรีนั้น ส่วนมากจะคุ้นกับน้ำตก เอราวัณ และไทรโยค กันมากกว่า ซึ่งสาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากการเดินทางเข้าถึงน้ำตกทั้งสองแห่งที่สะดวก ต่างจากน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ที่เดิมการเดินทางเข้ามาค่อนข้างลำบาก เพราะถนนเป็นถนนลูกรัง สภาพไม่ค่อยดีนัก ต้องอาศัยรถกระบะ หรือ 4WD ค่อยๆ วิ่งช้าๆ ผ่านถนนหนทางที่เป็นดินลูกรังไปตลอดทาง กว่า 30 กม. ใช้เวลาก็ประมาณ 2-3 ชม. หรือต้องนำรถลงแพขนานยนต์ ถึง 2 จุด ถึงจะมาถึงอุทยานเขื่อนศรีนครินทร์ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลักอย่าง น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นนี้ได้

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-06-กาญจนบุรี alt

พระอาทิตย์ขึ้น ณ. อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์

แต่ปัจจุบันถนนลูกรัง กลายเป็นถนนลาดยางอย่างดี เดินทางสะดวก ขับรถจากเขื่อนศรีนครินทร์ ไม่ถึงชั่วโมงก็สามารถมาเที่ยวน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นแห่งนี้ได้แล้ว

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น อยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีนครินทร์ อำเภอ ไทรโยค อำเภอศรีสวัสดิ์ และอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นน้ำตกที่เกิดจากลำห้วยแม่ขมิ้นในเทือกเขากะลา ไหลลดหลั่นไปตามเทือกเขาหินปูน มีทั้งหมดเจ็ดชั้น เป็นน้ำตกที่เดินง่าย ทางไม่ชัน มีน้ำตลอดปี เล่นน้ำได้เกือบทุกชั้น และจริงๆ ก็ไม่ได้มีแค่เจ็ดชั้น เพราะระหว่างทางเดินในแต่ละชั้น ก็จะมีชั้นนำตกเล็กๆ ให้ชมกันเกือบตลอดทาง

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-09-กาญจนบุรี

เส้นทางเดินเที่ยวชมน้ำตกบางส่วน มีการทำทางให้เดินได้สะดวก

และที่พิเศษก็คือ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนั้นอยู่ตรงน้ำตกฉัตรแก้ว ซึ่งเป็นน้ำตกชั้นที่ 4 และมีถนนเข้าถึง ทำให้นักท่องเที่ยงสามารถเลือกที่จะเดิน ไล่ขึ้นมาจากที่ทำการเดิม เที่ยวชมน้ำตกตั้งแต่ชั้นที่ 1 ขึ้นไปเรื่อยๆ หรือหากไม่แน่ใจว่าจะเดินไหวไหม ก็สามารถนั่งรถขึ้นมาได้ถึงชั้นที่ 4 เลย ซึ่งน้ำตกอยู่ติดกับบริเวณที่กางเต้นท์ของอุทยานเลยทีเดียว

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-15-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้นที่ 1 ดงว่าน

ประกอบด้วยน้ำตก 7 ชั้น โดยหากเริ่มเดินจากที่ทำการเดิม ที่ในสมัยก่อนหากขึ้นแพมา ก็จะเริ่มเดินทางกันที่นี่ เดินไม่นานก็จะพบกับ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นชั้นที่ 1 ดงว่าน

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-13-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น เดินขึ้นพอพ้นจากชั้นที่ 1 ก็จะพบกับน้ำตกชั้นที่ 2 ของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นที่ชื่อว่า ชั้นม่านขมิ้น

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-14-กาญจนบุรี

ระหว่างทางเดินขึ้นไปยังน้ำตกชั้นที่สาม ก็ยังมีชั้นน้ำตกสวยๆ ไม่มีชื่อ ให้ชม ให้เล่นได้ระหว่างทางอีก
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-11-กาญจนบุรี
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-10-กาญจนบุรี
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-12-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นชั้นที่ 3 วังหน้าผา

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-08-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้นที่ 3 วังหน้าผา

จากน้ำตกชั้นที่สาม วังหน้าผา จะต้องเดินขึ้นบันไดสองช่วง ประมาณ 30 กว่าขั้น ซึ่งเป็นจุดชันจุดเดียวในการเดินน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น พอเดินพ้นบันได ก็จะพบกับ
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว ซึ่ง ณ. จุดนี้เป็นลานกางเต็นท์ ร้านค้าสวัสดิการ ที่พัก และที่บริการท่องเที่ยวของอุทยานในปัจจุบัน

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-05-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-07-กาญจนบุรี

น้ำตกสวยๆ แม้แต่เด็กๆ ยังติดใจ

หากใครมาค้างคืนกางเต็นท์ ก็จะได้นอนหลับพร้อมกับเสียงน้ำตกที่จะขับกล่อมตลอดคืน และจุดนี้ก็มีน้ำตกเล็กๆ และธารน้ำที่เหมาะสมกับการเล่นน้ำเช่นเดียวกันกับตลอดแนวน้ำตกที่เดินผ่านมาตั้งแต่ชั้นที่ 1

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-01-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นชั้นที่ 5 ไหลจนหลง น้ำตกชั้นพิเศษ unzeen อย่างหนึ่งของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เมื่อจะพบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า หลุมยุบ

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-02-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-03-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้นที่ 5 ไหลจนหลง

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-04-กาญจนบุรี

น้ำตกชั้นไหลจนหลง น่าหลงไหมละ

จากชั้นที่ 5 นี้จะเดินเป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ตามทางเดินธรรมชาติ ผ่านป่าไผ่ และทางเดินริมธารน้ำ เดินสบายๆ ไม่ชัน ซักพักก็จะถึง

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ ได้ชื่อนี่เพราะเดิม น้ำตกชั้นนี้มีผีเสื้ออยู่เป็นจำนวนมาก

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-16-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-ดงผีเสื้อ(F5)

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นชั้นที่ 7 ร่มเกล้า ด้วยเป็นชั้นที่สูงสุด จึงใช้ชื่อที่เป็นสิริมงคลอย่าง ร่มเกล้า

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-18-กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้นที่ 7 ร่มเกล้า

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น-17-กาญจนบุรี

การเดินทางไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น

จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี โดยอาจใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ขับผ่าน จ.นครปฐม จะพบสะพาน ลอยข้ามไปทาง จ.กาญจนบุรี ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 323 มุ่งหน้าไปจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อถึงตัว อ.เมืองกาญจนบุรี จากนั้นมุ่งหน้าสู่สี่แยกแก่งเสี้ยน ให้ขับไปทาง อ.ศรีสวัสดิ์ เส้นทางหลวงหมายเลข 3199 เพื่อมุ่งไปยังอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ หรือป้ายบอกทางไปยังน้ำตกเอราวัณ เมื่อถึงเขื่อนศรีนครินทร์ ขับผ่านน้ำตกเอราวัณ ก็จะพบป้ายบอกทาง เพื่อไปยังน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์

ที่มา http://www.tlcthai.com

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

น้ำตกเอราวัณ

น้ำตกเอราวัณ เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยงาม บนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ น้ำตกเอราวัณมีความยาว 2,000 เมตร ทั้งหมด 7 ชั้น อยู่ห่างจากตัวเมือง 65 กิโลเมตร ขึ้นไปบนเส้นทางสายกาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์ (ทางหลวงหมายเลข 3199) เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 56 แยกซ้ายข้ามสะพานเข้าตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ตรงไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ถึงลานจอดรถแล้วเดินต่อไปอีก 500 เมตร จะถึงน้ำตก

111

น้ำตกเอราวัณ

น้ำตกเอราวัณ

น้ำตกเอราวัณ

น้ำตกเอราวัณ นี้มีด้วยกันทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นจะมีชื่อที่คล้องจองกัน เริ่มจาก…

ชั้นที่ 1 ไหลคืนรัง เป็นน้ำตกชั้นเล็ก ๆ ที่เหมาะกับการนั่งเล่นรับลมพักผ่อน

ชั้นที่ 2 วังมัจฉา เหมาะกับการลงเล่นน้ำ เพราะมีแอ่งให้ลงไปแวกว่ายได้ และมีฝูง “ปลาพลวง” อาศัยอยู่ในน้ำด้วย

ชั้นที่ 3 ผาน้ำตก ชั้นนี้น้ำตกจะตกลงมาในระดับสูง นักท่องเที่ยวสามารถไปยืนบริเวณน้ำตกเพื่อเล่นน้ำได้

ชั้นที่ 4 อกผีเสื้อ ชั้นนี้มีจุดเด่นในการเล่นสไลด์เดอร์ไหลลื่นตกลงมายังแอ่งน้ำด้านล่าง เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความตื่นเต้น

ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง เป็นชั้นที่กินพื้นที่กว้างสามารถเล่นน้ำได้

ชั้นที่ 6 ดงพฤกษา ชั้นนี้ถูกล้อมรอบด้วยแมกไม้นานาพันธุ์

ชั้นที่ 7 ภูผาเอราวัณ เป็นชั้นสุดท้ายซึ่งเป็นชั้นที่สวยงามมาก

น้ำตกเอราวัณ

น้ำตกเอราวัณ

น้ำใสสะท้อนแสงเป็นสีฟ้าอมเขียวมรกตคล้ายสระว่ายน้ำ ในแต่ละชั้นของน้ำตกจะมี ปลาพลวง (ปลาน้ำจืดในตระกูลปลาตะเพียน ลำตัวสีน้ำตาลเขียวเกล็ดโต มีหนวดยาว 2 คู่ ชอบอาศัยบริเวณธารน้ำตก ลำห้วย หรือลำธารที่ใสสะอาด) แหวกว่ายอยู่ แต่ในชั้นที่มีมากก็เห็นจะเป็นชั้นที่ 2 คือ วังมัจฉา

โดยแต่ละชั้นของ น้ำตกเอราวัณ จะมีลักษณะเป็นอ่างสามารถเล่นน้ำได้ และยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเอราวัณ มีระยะทางประมาณ 1,060 เมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เดินผ่านป่าดิบเขา จุดชมวิวและป่าผลัดใบที่สวยงาม ท่านจะได้รับความรู้และความเพลิดเพลินในการชื่นชมธรรมชาติที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง

ใครที่ต้องการสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติ น้ำตกเอราวัณ คงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม

น้ำตกเอราวัณ

 น้ำตกเอราวัณ

น้ำตกเอราวัณ

Tips

ห้ามนำภาชนะโฟม ขวดแก้ว กีตาร์และสัตว์เลี้ยงเข้าไปในบริเวณน้ำตก

ค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานแห่งชาติเอราวัณ คนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท

บริเวณอุทยานฯ มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-3457-4222, 0-3457-4234

สำหรับการเดินทางโดยรถประจำทาง มีรถออกจากสถานีขนส่งใกล้ที่ทำการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มายังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ทุกวัน ที่บริเวณน้ำตกเอราวัณมีบ้านพักของกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 579-0529, 579-4842

ที่มา : travel.kapook

สวยจน ไนกี้ เคลิ้ม เขื่อนเชี่ยวหลาน กุ้ยหลินเมืองไทย

สวยงามจนทำเอาหนุ่ม ไนกี้ นิธิดล เคลิ้มไปเลยที่เดียว สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง เขื่อนเชี่ยวหลาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของนักเดินทาง เพราะที่นี่สวยงามจนใครๆ ก็ขนานนามว่าที่นี่คือ กุ้ยหลินเมืองไทย เขื่อนเชี่ยวหลาน อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี บรยากาศโดยรอบห้อมลอมไปด้วยภูเขาหินปูนที่สูงชัน อยู่ท่ามกลางผืนน้ำที่กว้างใหญ่ น้ำใสสะอาด และด้วยระดับความลึกของน้ำที่มาก ประกอบกับสีของตะไคร่น้ำที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้น้ำในเขื่อนมีสีเขียวเข้มเหมือนสีมรกต ดูอบอุ่นเย็นสบาย ซึ่งเหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อนเป็นที่สุด

สวยจน ไนกี้ เคลิ้ม เขื่อนเชี่ยวหลาน กุ้ยหลินเมืองไทย

56

งานนี้ใครที่ได้ไปเที่ยวรับรองเลยว่าจะต้องประทับใจ เหมือนหนุ่มไนกี้แน่นอน เพราะเจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากว่า….

4

“ผมประทับใจ เขื่อนเชี่ยวหลาน ผมชอบมากไปครั้งแรกแล้วรู้สึกประทับใจมากมันคือธรรมชาติที่ดีมากของเมืองไทย ผมไม่เคยคิดว่าจะมีที่สวยๆ อย่างนี้ในเมืองไทย”

6

“บรรยากาศเหมือนไปเที่ยวเมืองจีนเลย คือมันสวยมากจริงๆ สวยจนเราเคลิ้ม ไปกับธรรมชาติบรรยากาศสบายมากน่าพักผ่อนเงียบสงบ รอบๆ ธรรมชาติรอบข้างสวยงามมากเหมือนหลงไปในดินแดนที่ไหนสักแห่ง”

2

ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบเที่ยวธรรมชาติ ชอบเที่ยวอะไรที่มันลุยๆ ปกติผมกับที่บ้านจะชอบไปเที่ยวทะเลหรือไม่ก็ภูเขา ปีละครั้งอยู่แล้วถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปเที่ยวที่เขื่อนเชี่ยวหลานอีกครั้ง เพราะมันสวยมากจริงๆ”

1

“แต่ตอนนั้นที่ผมไป ผมไม่ได้พักที่เขื่อน กลับมาพักรีสอร์ทก็น่าเสียดายเหมือนกัน แต่ถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวอีกครั้งรับรองว่าไม่พลาดแน่นอน”

8

ไนกี้ นิธิดล

7

บรรยากาศทะเลยามเย็นสวยงามจริงๆ ยังไม่อยากกลับเลย

3

ธรรมชาติที่สมบรูณ์แบบ มีต้นไม้ล้อมรอบ เหมาะแก่การมาพักผ่อนเป็นที่สุด

9

ทำงานไปด้วย เที่ยวไปด้วย ฟินจริงๆ

ที่มา http://travel.mthai.com/star-travel/116809.html

เขาสันหนอกวัว จ.กาญจนบุรี

แหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่ เขาสันหนอกวัว จ.กาญจนบุรี

อุทยานแห่งชาติเขาแหลม เปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ “เขาสันหนอกวัว” รอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติที่สวยงาม

3catcafe12

แหล่งท่องเที่ยวใหม่ เขาสันหนอกวัว จ.กาญจนบุรี

เขาสันหนอกวัว ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวและได้รับความสนใจจากบรรดานักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินทางสัมผัสธรรมชาติ โดย เขาสันหนอกวัว อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และสูงที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,767 เมตร และถือเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 8 ในประเทศไทย และมีเส้นทางเดินป่าที่สวยงาม และท้าทายสำหรับผู้รักการเดินป่าเชิงนิเวศ ที่ชื่นชอบการผจญภัยเป็นอย่างมาก

คลิป สันหนอกวัว อุทยานแห่งชาติเขาแหลม

การเดินทางไปยังเขาสันหนอกวัว ผู้เดินทางจะต้องเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีระยะทางยาว 9 กิโลเมตร ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ทำให้ผู้ที่จะเดินทางต้องเตรียมอาหารและน้ำให้พร้อม และแวะพักระหว่างทางเพื่อเติมพลังตลอดเส้นทางการเดินป่า นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับป่าหลากหลายรูปแบบ ทั้งป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชิ้น และป่าแล้ง เมื่อเดินทางถึงที่หมายบริเวณจุดชมวิวสันหนอกวัว ก็จะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะได้สัมผัสกับพื้นที่โล่งที่สามารถชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติ ขุนเขาและสายหมอกได้แบบ 360 องศา ซึ่งที่จุดนี้จะเป็นจุดกางเต็นท์สำหรับนอนพักค้างคืน เพื่อรอสัมผัสกับความสวยงามของพระอาทิตย์ที่จะขึ้นมาในช่วงเช้า

แหล่งท่องเที่ยวใหม่ เขาสันหนอกวัว จ.กาญจนบุรี

แหล่งท่องเที่ยวใหม่ เขาสันหนอกวัว จ.กาญจนบุรี

สิ่งอำนวยความสะดวกบนเขาเขียวสันหนอกวัว
บริเวณจุดตั้งแค้มป์บนยอดเขานี้ไม่มีแหล่งน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เลย นักท่องเที่ยวต้องเตรียมเสบียงอาหารไปทำเอง และนำสิ่งจำเป็นมาให้พร้อม สามารถติดต่อจ้างลูกหาบกับเจ้าหน้าที่อุทยานได้

ข้อแนะนำ
– ผู้ที่ต้องการพิชิตยอดเขาเขียว สันหนอกวัว ควรจะมีความพร้อมทางด้านร่างกายเป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องเข่า และขา เพราะเป็นการเดินขึ้นเขาสูงชัน
– ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สบาย ควรใส่ปลอกแขน หรือเสื้อแขนยาว หญ้าหรือกิ่งไม้บาด ใส่กางเกงที่สบาย ไม่คับเกินไป ไม่ควรใส่ยีนส์ หรือขาสั้น รองเท้าไม่ควรคับเกินไป
– ควรเตรียมอุปกรณ์เดินป่าที่จำเป็นไปให้พร้อม เช่น ไฟฉาย ยาทาแผล และอื่นๆ โดยเฉพาะยากันยุง แมลง และทาก
– ควรเตรียมน้ำดื่ม และอาหารไปให้เพียงพอ
– ควรนำสัมภาระเท่าที่จำเป็นไปเท่านั้น เพราะเป็นการเดินทางระยะไกลเป็นเวลาเกือบครึ่งวัน รวมถึงมีเส้นทางที่เป็นการขึ้นเขาชัน
– ควรเชื่อฟังเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด ไม่เดินออกนอกเส้นทาง หรือเดินทางตามลำพัง
– ควรติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง และลูกหาบล่วงหน้า เพราะมีการจำกัดนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปบนเขาด้วย

แหล่งท่องเที่ยวใหม่ เขาสันหนอกวัว จ.กาญจนบุรี

แหล่งท่องเที่ยวใหม่ เขาสันหนอกวัว จ.กาญจนบุรี

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
อุทยานแห่งชาติเขาแหลม
หมู่ 4 ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 71240
โทร. 034-546819

การเดินทางไปเขาเขียวสันหนอกวัว
การเดินขึ้นเขาเขียวต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมก่อนล่วงหน้า
กรุงเทพฯ – อุทยานแห่งชาติเขาแหลม 310 กิโลเมตร

รถยนต์
– จากตัวเมืองกาญจนบุรี วิ่งบนถนนแสงชูโตที่เป็นถนนสายหลัก ถึงสี่แยกแก่งเสี้ยน เลี้ยวซ้ายไปตามป้ายอำเภอไทรโยค – ทองผาภูมิ (ทางหลวงหมายเลข 323)
– ก่อนถึงตัวอำเภอทองผาภูมิ จะมีสามแยก เลี้ยวขวาไปทางอำเภอสังขละบุรี (ด่านเจดีย์สามองค์) ผ่านวัดท่าขนุน น้ำตกเกริงกระเวีย น้ำตกไดช่องถ่อง หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาแหลม(เกริงกระเวีย) จากนั้นจะเป็นที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม อยู่ทางขวามือ

โดยอุทยานแห่งชาติเขาแหลม จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปสัมผัสความงามของเขาสันหนอกวัวไว้เพียงแค่วันละ 80 คนเท่านั้น

ที่มา : bugaboo / kanchanaburi

สวนสนบ่อแก้ว นามิเมืองไทย ไม่ต้องบินไปถึงเกาหลี

หากพูดถึงป่าสนที่เป็นทิวสวยงาม ภาพในหัวของหลาย ๆ คน คงจะนึกถึงเกาะนามิ ประเทศเกาหลีใต้ เป็นภาพที่คุ้นชินตาในซีรีส์ที่เราชื่นชอบ จนมีคนออกเดินทางไปเที่ยวตามรอยก็ไม่น้อย โดยหารู้ไม่ว่าในเมืองไทยของเราก็มีเส้นทางป่าสนที่สวยงามไม่แพ้ที่เกาะนามิเลย และอาจสวยกว่าด้วยซ้ำ จะพาคุณไปชม “สวนสนบ่อแก้ว” แหล่งท่องเที่ยวที่ยังมีความเป็นอันซีนของจังหวัดเชียงใหม่

 

สวนสนบ่อแก้ว นามิเมืองไทย ไม่ต้องบินไปถึงเกาหลี

DSC_8239

ทิวสนสวยงาม ที่สวนสนบ่อแก้ว

“สวนสนบ่อแก้ว” ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอฮอด จ.เชียงใหม่ บนเส้นทางสายฮอด-แม่สะเรียง กม.ที่ 36 อยู่เลยอุทยานแห่งชาติออบหลวงไปประมาณ 22 กม. เป็นพื้นที่ทดลองปลูกสนภูเขาชนิดต่าง ๆ ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ นำพันธุ์มาจากต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และไต้หวัน เพื่อทดลองหาพันธุ์ที่เหมาะสมมาเป็นไม้เบิกนำ เพื่อปลูกบนป่าเสื่อมโทรมบนดอยทางภาคเหนือ ต้นสนที่นำมาปลูกมีอายุกว่า 40 ปี เพราะปลูกในช่วงปี พ.ศ.2509-2510 จำนวนหลายพันต้น เรียงรายเป็นระเบียบบนลานโล่งเตียนด้านหน้า

ทั้งนี้ สวนสน ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจวัตถุดิบเพื่อทำเยื่อกระดาษและเป็นแปลงทดลองปลูกพืชจำนวนสนสามใบ และยูคาลิปตัส ในเนื้อที่ทั้งหมด 2,072 ไร่ อากาศของที่นี่ชื้นและเย็นตลอดปี

นามิเมืองไทย

เดินชมป่าสนเรียงราย เพลิดเพลินหัวใจ

นามิเมืองไทย

ทิวทัศน์ป่าสนโอบล้อมไปทั่วทิศ

ช่วงที่น่าไปเที่ยวมากที่สุดคือฤดูหนาว เพราะในยามเช้าเราจะเห็นม่านหมอกลอยปกคลุมอยู่บริเวณครึ่งบนของลานสน ประจวบกับแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงบาง ๆ ลงมา รับรองว่าคุณจะต้องกดชัตเตอร์กล้องแบบไม่ยั้งเลยทีเดียว

สวนสน บ่อแก้ว

เส้นทางลานสน ยาวไกลสุดสายตา

สวนสน บ่อแก้ว

ต้นสนสามใบ แผ่กระจายเต็มพื้นที่

วันเปิดทำการ  :  วันจันทร์ – วันอาทิตย์  เวลา 08.00 น. – 17.00 น.

ติดต่อสอบถาม  :  โทร. 0 5324 8604  ,  0 5324 8607

นามิเมืองไทย

สูดอากาศบริสุทธิ์ ท่ามกลางบรรยากาศเขียว ๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.chiangmaipao.go.th

ที่มา http://travel.mthai.com/blog/121504.html

ที่ยวเหนือหน้าหนาว กับ 20 สถานที่ท่องเที่ยวโดนใจ

page_10


เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการไปแล้ว หลายคนคงมีการจัดหาเวลาสำหรับวางแผนเดินทางไปท่องเที่ยวต้อนรับลมหนาว และการเที่ยวเหนือหน้าหนาวก็คงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมอันดับต้นของนักเดินทาง วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวภายในภาคเหนือกัน
อ๊ะ ๆ แต่ขอบอกก่อนนะจ๊ะว่า เที่ยวเหนือหน้าหนาวกับเราทริปนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายคนอาจคุ้นชื่อ แต่ยังไม่มีโอกาสไปสัมผัสสักครั้ง เพราะนอกจาก ดอยอินทนนท์, ดอยอ่างขาง, ดอยแม่สลอง, ปาย, ปางอุ๋ง, ม่อนแจ่ม, ภูชี้ฟ้า หรือห้วยน้ำดัง ในภาคเหนือยังมีสถานที่ท่องเที่ยวแจ่ม ๆ ทะเลหมอกสวย ๆ ทิวทัศน์ที่งดงามอีกเพียบ อยากรู้แล้วใช่ไหมว่ามีที่ไหนบ้าง ถ้าอย่างนั้นเตรียมแพ็กกระเป๋าตามเราขึ้นเหนือเลยจ้า

 

1. แม่แจ่ม

1

            เริ่มต้นกันที่ "แม่แจ่ม" อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ดินแดนนครลับแลแห่งเมืองล้านนา โดดเดี่ยวท่ามกลางป่า ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขา อยู่ในอ้อมกอดของแม่น้ำอย่างอบอุ่น รอยยิ้มผู้คนเป็นมิตร สนิทกันเหมือนญาติ นี่คือเอกลักษณ์และคำนิยามความเป็นแม่แจ่มได้อย่างชัดเจน เพราะที่นี่ยังคงเงียบสงบ มีหมู่บ้านอยู่ตามที่ราบและกระจัดกระจายอยู่ตามหุบเขาใหญ่น้อยที่ล้อมรอบเรียงรายอยู่ ชาวบ้านมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนไฮไลท์ของที่นี่ ก็คือ นาข้าวขั้นบันไดกว้างไกลสุดสายตา อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น วัดป่าแดด, วัดกองกาน, วัดกองแขก, สถานีทดลองเกษตรที่สูงแม่จอนหลวง, สวนป่าแม่แจ่ม และหมู่บ้านทอผ้าซิ่นตีนจก ฯลฯ
2. บ้านแม่กลางหลวง

Rice Terrace in Ban Mae Klang Luang Village on Doi Inthanon, Chiang Mai

ภาพจาก ททท.

            บ้านแม่กลางหลวง ตั้งอยู่บนดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวกระเหรี่ยงเผ่าปกาเกอะญอ ในฤดูฝนบ้านแม่กลางหลวงจะเขียวขจีไปด้วยทุ่งนาขั้นบันได ลดหลั่นเป็นขั้น ส่วนในฤดูหนาวก็งดงามไม่แพ้กัน และยังมีกิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติหลากหลายเส้นทาง อาทิ เส้นทางเดินป่าดอยหัวเสือ เส้นทางดูนกห้วยน้ำขุ่น และเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาเสี่ยว เหมาะสำหรับผู้รักธรรมชาติที่ต้องการความเงียบสงบและเรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้าน
            การเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้ทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด) ผ่านอำเภอหางดง อำเภอสันป่าตอง และอำเภอจอมทอง เป็นระยะทาง 50 กิโลเมตร แล้วไปยังอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ (ทางหลวงหมายเลข 1009) อีกประมาณ 26 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสู่บ้านแม่กลางหลวง
3. ดอยเสมอดาว

3

            ดอยเสมอดาว ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน เป็นบริเวณจุดชมวิว แห่งหนึ่งของอุทยานฯ มีพื้นที่เป็นลานกว้างตามสันเขา เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาดูดาว ดูพระอาทิตย์ขึ้น และตกดินในบริเวณเดียวกัน รวมทั้งสามารถชมทะเลหมอก จึงตั้งชื่อของสถานที่แห่งนี้ว่า ดอยเสมอดาว
            นอกจากนี้ ยังมีสถานท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียง คือ ผาหัวสิงห์ เป็นหน้าผาที่มีรูปร่างคล้ายสิงโตนอนหมอบ หันหน้าไปทางทัศตะวันออก สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ 360 องศา และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง มีเส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติ ให้ผู้รักการผจญภัยได้เพลิดเพลินไปกับความงามของธรรมชาติ ทั้งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจจะเดินทางไปท่องเที่ยว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 08 1224 0800
4. ดอยผาตั้ง

4

            ดอยผาตั้ง ตั้งอยู่ใกล้ทางหลวงหมายเลข 1093 กิโลเมตรที่ 89 เป็นจุดชมวิวไทย-ลาว มีความสูง 1,635 เมตร และเที่ยวชมทะเลหมอกได้ตลอดปี ในเดือนธันวาคมถึงมกราคมจะมีดอกซากุระบาน และเดือนกุมภาพันธ์ มีดอกเสี้ยวบานสะพรั่งงดงาม ซึ่งที่นี่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า โดยเฉพาะจีนฮ่อนั้น อดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองพล 93 ซึ่งอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดอยผาตั้งนี้ ปัจจุบันประกอบอาชีพทางการเกษตร ปลูกพืชเมืองหนาว เช่น บ๊วย ท้อ สาลี่ แอปเปิล และชา
            ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ จุดบริการนักท่องเที่ยวดอยผาตั้ง โทรศัพท์ 0 5391 8301 หรือองค์การบริหารส่วนตำบลปอ โทรศัพท์ 0 5371 0300, 0 5391 8265
5. วนอุทยานภูลังกา

5

            วนอุทยานภูลังกา ตั้งอยู่ภายในตำบลผาช้างน้อย อำเภอเชียงคำ และอำเภอปง จังหวัดพะเยา เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกแห่งเดียวของจังหวัดพะเยา ชาวเขาเผ่าเย้าเรียกยอดดอยที่สูงที่สุดบนภูนี้ว่า “ฟินจาเบาะ” หมายถึง เป็นที่สถิตของนางฟ้าและเทวดา ซึ่งมีคำบอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ว่าในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ จะมีแสงสีขาวเปล่งปลั่งเหนือยอดดอย อีกทั้งเป็นยอดดอยที่สวยงาม มีความสูง 1,720 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
            ทั้งนี้ บนยอดภูมีพื้นที่แคบจุได้ไม่เกิน 10 คน สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบเขา มีต้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนมาก ดอกไม้ป่า พันธุ์ไม้หายาก เช่น ต้นชมพูภูพาน, เนียมแดง, เอื้องสีตาล, เทียนธารา และสัตฤาษี เป็นต้น สามารถศึกษาระบบนิเวศดั้งเดิมของป่าดิบเขาและต้นน้ำตามเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติ มีสัตว์ป่ากว่า 100 ชนิด และทะเลหมอกที่สวยงาม
            นอกจากนี้ วนอุทยานภูลังกายังมีสถานที่น่าสนใจ ได้แก่ ดอยภูลังกา มีความสูงประมาณ 1,720 เมตร สามารถเฝ้าชมวิวทะเลเมฆหมอก ดอกไม้ป่า ชมอาทิตย์ขึ้นลงท่ามกลางทะเลภูเขาสวยงามมาก นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสอากาศเย็นสดชื่นสบายตลอดปี, ดอยภูลม มีความสูงประมาณ 1,600 เมตร สามารถชมวิวได้ 360 องศา, ทุ่งดอกโคลงเคลง เป็นต้นไม้พุ่ม ดอกสีม่วง มีลักษณะสวยงาม ออกดอกบานสะพรั่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวและช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขึ้นรวมกันเป็นทุ่งกว้างและกระจัดกระจายทั่วไปในวนอุทยานภูลังกา, หินแยงฟ้า เป็นแท่งหินยื่นโผล่ขึ้นไปบนฟ้า อยู่ปลายสุดของยอดดอยภูลังกา, ป่าก่อโบราณ, น้ำตกภูลังกา, ลานหินล้านปี และร่องรอยตำนานผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในอดีต ทั้งนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ visitphayao.com
6. ดอยหัวแม่คำ

6

ภาพจาก ททท.

            ดอยหัวแม่คำ อยู่สูงจากระดับทะเล 1,850 เมตร ตั้งอยู่ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ดอยหัวแม่คำเป็นที่ตั้งหมู่บ้านชาวเขาขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเผ่าลีซอ เป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอีก้อ ม้ง และมูเซอ ในช่วงเวลาซึ่งตรงกับตรุษจีนของทุกปี ชาวลีซอจะจัดงานประเพณีกินวอ ซึ่งเปรียบเสมือนวันขึ้นปีใหม่ ในวันนั้นชาวลีซอแต่งกายสวยงาม มีการกินเลี้ยง เต้นระบำ 7 วัน 7 คืน และในเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงที่ดอยหัวแม่คำงดงามไปด้วยดอกบัวตองสีเหลืองสดใส บานสะพรั่งอยู่ทั่วไปตามแนวเขา เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก ซึ่งบนดอยมีบริการบ้านพักบริการ ติดต่อเกษตรที่สูงหัวแม่คำ โทรศัพท์ 0 5391 8101
7. ดอยแม่สลอง

7

            ดอยแม่สลอง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านสันติคิรี เดิมชื่อบ้านแม่สลองนอก เป็นชุมชนผู้อพยพจากกองพล 93 จากสหภาพพม่าเข้ามาในเขตไทย จำนวนสองกองพันคือ กองพันที่ 3 เข้ามาอยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และกองพันที่ 5 อยู่ที่บ้านแม่สลองนอก ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ในเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ดอกนางพญาเสือโคร่ง ซึ่งเป็นซากุระพันธุ์ที่เล็กที่สุด สีชมพูอมขาวจะบานสะพรั่งตลอดแนวทางขึ้นดอยแม่สลอง เป็นพันธุ์ไม้ที่หาชมได้ยากในเมืองไทย เพราะเจริญเติบโตอยู่แต่เฉพาะในภูมิอากาศหนาวจัดเท่านั้น โดยจุดน่าสนใจบนดอยแม่สลอง คือ การชมไร่ชาและศึกษาวิธีการผลิตชา ขี่ม้าชมทิวทัศน์รอบหมู่บ้านเจียงจาใส และศึกษาเรื่องราวและประวัติของชาวดอยแม่สลอง ณ อนุสรณ์สถานอดีตทหารจีนคณะชาติภาคเหนือ ประเทศไทย
8. ดอยวาวี
            ดอยวาวี ตั้งอยู่ที่ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เป็นชุมชนขนาดใหญ่ของชาวจีนฮ่อ กองพล 93 ซึ่งอพยพเข้ามาตั้งหลักปักฐานราว 50 ปีมาแล้ว โดยยึดอาชีพปลูกชาและผลไม้ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบและทิวทัศน์งามของดอย สูงเช่นเดียวกับชุมชนดอยแม่สลอง แม้หมู่บ้านจะมีขนาดเล็ก แต่ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกลิ่นอายชุมชนชาวจีนอันเรียบง่าย ราวกับอยู่ทางแถบยูนนานตอนใต้ของจีน บริเวณใกล้หมู่บ้านเป็นสถานที่ที่เขียวขจีด้วยไร่ชาที่ลดหลั่นตามลาดเขา ช่วยประดับทิวทัศน์ชุมชนและเทือกดอยให้งดงามชวนมอง
            ใกล้กับดอยวาวีมีจุดชมทะเลหมอกอยู่บนดอยกาดผี ซึ่งเมื่อขึ้นไปยืนที่ชะง่อนผาสูง 1,500 เมตร จะสามารถมองเห็นทะเลหมอกหนาทึบเต็มหุบเขา พร้อมกับภาพอลังการของขุนเขาสลับซับซ้อนตามแนวเทือกดอยช้าง ดอยกาดผีอยู่ห่างจากดอยวาวีประมาณ 20 กิโลเมตร ตามเส้นทางค่อนข้างทุรกันดาร ค่อนข้างคดเคี้ยว เป็นถนนลาดยางตลอดเส้นทาง รถยนต์ทุกประเภทสามารถเดินทางได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม องค์การบริหารส่วนตำบลวาวี โทรศัพท์ 0 5360 5950 หรือที่เว็บไซต์vavee.net

9. พระตำหนักดอยตุงและสวนแม่ฟ้าหลวง

9

            พระตำหนักดอยตุง ตั้งอยู่ในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พระตำหนักดอยตุงเคยเป็นที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีรูปทรงผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับชาเลย์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีการแกะสลักไม้ตามกาแล เชิงชายและขอบหน้าต่างเป็นลวดลายต่าง ๆ โดยฝีมือช่างชาวเหนือ รอบ ๆ พระตำหนักมีสวนดอกไม้หลากชนิด หลายสี ให้ความสวยงามสดชื่น โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะเห็นหมอกจาง ๆ บริเวณยอดเขารอบพระตำหนัก
            สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ สวนแม่ฟ้าหลวง ตั้งอยู่ด้านหน้าพระตำหนักดอยตุง มีเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว อาทิ ดอกซัลเวีย, พิทูเนีย, บีโกเนีย, กุหลาบ, ดอกลำโพง, ไม้มงคลต่าง ๆ ไม้ยืนต้นและซุ้มไม้เลื้อยอีกมากกว่า 70 ชนิด รูปปั้นต่อเนื่องฝีมือของ คุณมีเซียม ยิบอินซอย
            หอแห่งแรงบันดาลใจ เป็นอาคารแสดงพระราชประวัติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและพระราชวงศ์ มีห้องจัดแสดงนิทรรศการ 8 ห้อง เปิดให้เข้าชมทุกวัน และยังมีร้านขายของที่ระลึก เสื้อผ้าไหม ผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวง ทั้งผัก ผลไม้ ดอกไม้ พันธุ์ไม้ต่าง ๆ ให้ซื้อกลับไปเป็นของฝากอีกด้วย
            ทั้งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าชมทั้งพระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง และหอแห่งแรงบันดาลใจ จำหน่ายบัตรรวม ราคา 160 บาท ซุ้มจำหน่ายบัตรเปิดเวลา 06.30-18.00 น. หลังเวลา 17.00 น. จำหน่ายเฉพาะบัตรชมพระตำหนักและสวนแม่ฟ้าหลวง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 5376 7015-7 หรือเว็บไซต์ doitung.org และ เฟซบุ๊ก DoiTung Club
10. สันป่าเกี๊ยะ

10

            สถานีวิจัยเกษตรที่สูงป่าเกี๊ยะ ดอยเชียงดาว เป็นหน่วยงานของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ในทำเลที่มองเห็นเทือกดอยหลวงเชียงดาวได้อย่างชัดเจนและสวยงาม มีนกหลายชนิดที่เห็นอยู่ตลอด เช่น นกเขียวก้านตองสีส้ม นกติ๊ดใหญ่ นกไต่ไม้หน้าผากกำมะหยี่ นกกะรองทองแก้มขาว และอีกหลายชนิด ช่วงฤดูหนาวจากที่พักในช่วงเช้าจะมองเห็นทะเลหมอกหนา กลางคืนจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้าส่องแสงระยิบระยับจากเมืองเชียงดาว
            สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถติดต่อขออนุญาตจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เสียก่อน โดยติดต่อสถานีวิจัยเกษตรที่สูงป่าเกี๊ยะดอยเชียงดาว คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างน้อย 10 วันล่วงหน้า โทรศัพท์ 0 5322 2014, 0 5394 4052
11. อุทยานแห่งชาติดอยผากลอง
            อุทยานแห่งชาติดอยผากลอง มีพื้นที่ทั้งสิ้น 112,500 ไร่ ตั้งอยู่ภายในอำเภอลอง จังหวัดแพร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและหน้าผาสูง เป็นแหล่งกำเนิดของลำธารต่าง ๆ ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำยม สภาพโดยทั่วไปเป็นป่าเบญจพรรณ โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจภายในอุทยานฯ ได้แก่ สวนหินมหาราช เป็นกลุ่มก้อนหินขนาดใหญ่มาก แต่ละก้อนมีรูปร่างต่าง ๆ กลุ่มก้อนหินนี้ตั้งเรียงรายอยู่ท่ามกลางป่าเต็งรัง ตรงบริเวณทางเข้าที่ทำการอทุยานฯ
            ภูเขาหินปะการัง พื้นที่ที่เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก และการชะล้างพังทลายของหินที่ใช้เวลาหลายล้านปี มีลักษณะคล้ายปะการัง มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ประมาณ 1,100 เมตร เป็นเส้นทางระยะสั้น แต่ค่อนข้างทรหด เพราะทางบางช่วงเป็นหินแหลมคม ผู้ที่มาท่องเที่ยวควรใส่รองเท้าผ้าใบให้รัดกุม และควรเดินในช่วงเช้าที่ยังไม่มีแดดจัด ระหว่างทางจะพบแอร์ธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากลมพัดเอาความชื้นออกมาจากถ้ำโดยผ่านปากถ้ำแคบ ๆ จะทำให้ผู้ที่สัมผัสอากาศนี้รู้สึกเย็นเหมือนได้รับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศแต่มีความสดชื่นมากกว่า เลยไปจะเป็นจุดชมวิวหินปะการัง
            นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ในอุทยานฯ ได้แก่ แก่งหลวง และถ้ำเอราวัณ ซึ่งอยู่ที่ตำบลบ้านปิน อำเภอลอง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 5450 1145, 0 5450 1701
12. ดอยหัวหมด

12

ภาพจาก ททท.

            ดอยหัวหมด ตั้งอยู่ในเขตอำเภออุ้มผาง และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ลักษณะเป็นเขาหินปูนที่ทอดแนวยาวติดต่อกันหลาย มีความยาวประมาณ 30 กิโลเมตร กว้าง 2 กิโลเมตร บนภูเขานี้ไม่มีต้นใหญ่ขึ้น มีแต่ต้นหญ้าและไม้ดอกเตี้ย ๆ ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป เช่น ปรง ดอกเทียน และดอกไม้ป่า โดยเฉพาะดอกเทียนจะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงฤดูฝน สลับกับโขดหินเป็นระยะ ๆ หากมองขึ้นไปบนเขาจะเห็นภูเขาทั้งลูกเหมือนถูกปูด้วยพรมสีเขียว โดยมีโขดหิน ต้นปรง ดอกเทียนป่า และไม้ดอกนานาชนิดขึ้นแซมเพิ่มสีสันดูสวยงาม
            หากขึ้นไปบนยอดเขาจะมองเห็นหมู่บ้านอุ้มผาง และทิวเขาสลับซับซ้อน ทัศนียภาพโดยรอบสวยงาม มีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก และดูทะเลหมอกยามเช้า ช่วงปลายฝนต้นหนาวจะมีทะเลหมอกที่สวยงาม โดยควรไปถึงดอยหัวหมดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเวลา 05.00-06.00 น. อากาศบนดอยค่อนข้างเย็น มีลมพัดตลอดเวลา
13. อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ภาพจาก park.dnp.go.th

            อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอขุนยวมและอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน สภาพพื้นที่เป็นป่าเขา เรียงรายสลับซับซ้อน มีภูเขาหินและหน้าผาน้อยใหญ่สูงชันในลักษณะที่แตกต่างกันและคล้ายกันที่สวยงามหลายแห่ง เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่อุดมสมบูรณ์ ตลอดจนมีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตกแม่สุรินทร์ ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เคียงคู่กับทุ่งบัวตอง รวมทั้งลำน้ำปาย ซึ่งมีหาดทรายสวยงาม โดยมี ดอยปุย เป็นจุดที่สูงที่สุดในอุทยานฯ สูงจากระดับน้ำทะเล 1,732 เมตร อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี นับเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ที่สวยงาม และเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง
14. ดอยม่อนจอง

Doi Monjong, Omkoi Wildlife Sanctuary, Chiang Mai

ภาพจาก ททท.

            ดอยม่อนจอง ขึ้นอยู่กับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอสามเงา จังหวัดตาก สิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องไพรมายังดอยม่อนจอง ก็คือ กวางผาหรือม้าเทวดา ซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่ที่นี่ และทิวทัศน์ที่สวยงามของทิวเขา และถ้ามาในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม จะได้พบดอกกุหลาบพันปีที่กำลังบาน ว่ากันว่าต้นนี้เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นกหายากที่พบที่นี่ ได้แก่ เหยี่ยวนกเขาท้องขาว นกอินทรีแถบปีกดำ นกอินทรีเล็ก นกเปล้าท้องขาว นกมุ่นรกคอแดง นกเดินดงคอดำ เป็นต้น
            การเดินขึ้นดอยม่อนจองสามารถไปเช้าเย็นกลับได้ แต่จะเหนื่อยมาก ต้องเริ่มออกเดินตั้งแต่ 06.30 น. เป็นอย่างน้อย หากเดินแบบไม่เหนื่อยเกินไปนักควรใช้เวลา 2 วัน 1 คืน ก่อนเดินขึ้นดอยต้องติดต่อขออนุญาตจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ
            การเดินทาง ไปยังเขตรักษาพันธุ์ฯ อมก๋อย (หน่วยมูเซอ) จากเชียงใหม่ใช้ทางหลวงหมายเลข 108 แล้วแยกซ้ายจากอำเภอฮอดเข้าทางหลวงหมายเลข 1099 ไปจนถึงตัวอำเภออมก๋อย และตรงต่อไปตามทางหลวง 1099 ประมาณ 40 กิโลเมตร จะพบหน่วยมูเซออยู่ทางด้านซ้ายมือ จากหน่วยฯ ไปยังจุดเริ่มเดินอีกประมาณ 16 กิโลเมตร ทางในช่วงนี้จำเป็นต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อและคนขับที่มีความชำนาญเป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพทางเป็นลูกรัง และแคบคดเคี้ยวริมผา ส่วนเสบียงข้าวของต่าง ๆ หาซื้อได้ที่ตัวอำเภออมก๋อย
15. เที่ยวชมเมืองน่าน

15

ภาพจาก ททท.

            น่าน ดินแดนในอ้อมกอดของขุนเขาด้านตะวันออกของภาคเหนือ อุดมด้วยธรรมชาติผืนป่า สายน้ำ ทะเลหมอก หล่อหลอมรวมกับวิถีวัฒนธรรมของผู้คนชาวไทยลื้อ ทำให้เสน่ห์ของน่านไม่ได้มีเพียงธรรมชาติอันพิสุทธิ์ แต่ยังมีศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ที่แฝงด้วยแรงศรัทธาในพุทธศาสนา และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็ก แต่น่านก็มีเสน่ห์เรื่องอาหารการกินอยู่ไม่ใช่น้อย มีอาหารพื้นเมืองชาวเหนือให้ได้ลองชิมกัน อีกทั้งยังมีสินค้าหัตถกรรมขึ้นชื่อ ได้แก่ ผ้าทอมือที่มีสีสันสวยงามและลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ซิ่นตีนจก ซิ่นก่าน โดยเฉพาะผ้าซิ่นลายน้ำไหล นับว่าเป็นสินค้าของฝากที่ล้ำค่ายิ่ง
            สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ พระธาตุแช่แห้ง, วัดภูมินทร์, วัดพระธาตุช้างค้ำ, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน (หอคำ), วัดน้อย, คุ้มเจ้าราชบุตร, วัดหัวข่วง, วัดกู่คำ, วัดมิ่งเมือง, วัดศรีพันต้น, วัดไผ่เหลือง, กำแพงเมืองโบราณ และวัดสวนตาล ทางด้านแหล่งท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติขุนสถาน, อุทยานแห่งชาตินันทบุรี, อุทยานแห่งชาติศรีน่าน และอุทยานแห่งชาติขุนสถาน ฯลฯ
            ทั้งนี้ เมืองน่านมีประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงาม การเที่ยวชมวัดวาอารามและสถานที่สำคัญต่างๆ นักท่องเที่ยวควรแต่งกายสุภาพ ไม่ควรสวมกางเกงขาสั้นหรือเสื้อกล้าม เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่
16. ดอยเวียงผา

16

ภาพจาก park.dnp.go.th

            จุดชมวิวยอดดอยเวียงผา เป็นจุดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,834 เมตร จึงมีทิวทัศน์ที่สวยงามเหมาะกับกิจกรรมท่องเที่ยวเดินป่าศึกษาธรรมชาติ มีพรรณไม้ที่หายาก อาทิ เช่น กุหลาบพันปี กายอม กุหลาบขาว กล้วยไม้นานาชนิด ดอกหญ้าต่าง ๆ และสัตว์ป่านานาชนิด อีกทั้งยังสามารถพบเห็นตัวสลามานเดอร์ (จิ้งจกน้ำ) สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งเป็นดัชนีบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศได้บนยอดดอยเวียงผา
            นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงยังมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น น้ำตกดอยเวียงผา เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีน้ำไหลตลอดปี, น้ำตกแม่ฝางหลวง มีน้ำมากในฤดูฝน สามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย และเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะใกล้ เป็นเส้นทางที่อยู่ในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาไม่มากนัก มีสถานีสื่อความหมาย 10 สถานี ระยะทางประมาณ 2,412 เมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา โทรศัพท์ 08 7186 2118 0 5331 7535
17. เขาโมโกจู

17

            เขาโมโกจู ขุนเขาแห่งความหนาวเย็น ด้วยความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล โมโกจูจึงเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 27 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าไปกลับ 4-5 วัน แม้ระยะทางจะไกลและยากแก่การเข้าไปถึง แต่โมโกจูก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางหลาย ๆ คน ที่จะเก็บเป็นความประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งผู้สนใจจะไปสัมผัสยอดเขาโมโกจู ต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรง เพราะทางเดินขึ้นเขามีความลาดชันไม่ต่ำกว่า 60 องศา ใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับ 5 วัน และต้องพักแรมในป่าตามจุดที่กำหนด นอกจากนั้นควรศึกษาสภาพเส้นทาง สภาพอากาศ และติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางจากอุทยานฯ ซึ่งเปิดให้เดินขึ้นยอดเขาโมโกจูในเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ของทุกปี สอบถามข้อมูลได้ที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โทรศัพท์ 0 5576 6436, 0 5576 6024, 0 5576 6027
18. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยแล้ง

18

ภาพจาก thairoyalprojecttour.com

            ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยแล้ง ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยแล้ง ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ครั้งเมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนสมถวิลจินตมัย เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 ในโอกาสนั้น นายจงนึ่ง ศักดิ์สิทธานุภาพ ผู้ใหญ่บ้านห้วยแล้ง หมู่ที่ 2 ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานความช่วยเหลือจากโครงการหลวง เพื่อสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับราษฎรในพื้นที่ เป็นการเพิ่มรายได้แก่ครอบครัว ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยแล้งจึงกำเนิดขึ้นใน พ.ศ. 2542 โดยประธานมูลนิธิโครงการหลวง มอบหมายให้ ม.ร.ว.แซมแจ่มจรัส รัชนี เป็นผู้อำนวยการ
            โดยที่นี่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่อิงและป่างาว อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 400-1,360 เมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงขนาบข้างแนวเหนือ-ใต้ มีที่ราบลุ่มกว้าง ความลาดชันของพื้นที่ปานกลาง กิจกรรมการท่องเที่ยวมีทั้งการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชมแปลงส่งเสริมการเกษตรพืชผัก ชมแปลงไม้ผล, การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ชมวิถีชีวิตชาวเขาเผ่าม้งที่พึ่งพาธรรมชาติในการดำรงชีวิต และการท่องเที่ยวทางธรรมชาติบริเวณจุดชมวิวบนดอยสูง เพื่อชมทิวทัศน์อำเภอเวียงแก่น และแม่น้ำโขง ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยแล้ง โทรศัพท์ 08 7183 7698, 0 5391 8441
19. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ลาน้อย

19

ภาพจาก thairoyalprojecttour.com

            ในปี พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมราษฎรชาวบ้านป่าแป๋และบ้านห้วยห้อมเป็นครั้งแรก ได้พระราชทานทุนทรัพย์จำนวน 20,000 บาท จัดตั้งธนาคารข้าวแห่งแรกของโลก ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎรทั้งสองหมู่บ้านเป็นครั้งที่ 2 และทรงรับสั่งให้ประธานมูลนิธิโครงการหลวง เข้าช่วยเหลือพัฒนาอาชีพแก่ชาวเขา โดยเฉพาะด้านเกษตรกรรม สังคม และสาธารณสุข เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ต้นน้ำแม่ลาน้อยและแม่น้ำแม่สะเรียง มีการปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอยอย่างกว้างขวาง
            จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2523 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ลาน้อยได้ก่อตั้งขึ้น โดยใช้พื้นที่บ้านดงเป็นที่ทำการ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยทอดพระเนตรเห็นพื้นที่แล้ว ประกอบกับเป็นที่ตั้งของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (สมเด็จย่าฯ ทรงก่อตั้งขึ้นในนามของสมาคมศิษย์เก่าสิริราชพยาบาล เมื่อปี พ.ศ. 2516) ซึ่งเป็นศูนย์กลางพัฒนาการศึกษาแก่เยาวชนในท้องถิ่น โดยมีพื้นที่รับผิดชอบ 91.75 ตารางกิโลเมตร หรือ 57,368 ไร่ ครอบคลุม 14 หมู่บ้าน ประกอบด้วยชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงและเผ่าลั๊วะ
            ที่นี่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวให้สัมผัสมากมาย ทั้งการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชมแปลงกาแฟอาราบิก้า พร้อมชิมกาแฟสดรสดีผลิตภัณฑ์คุณภาพจากบ้านห้วยห้อม ส่งจำหน่ายให้กับโครงการหลวง ชมวิวความสวยงามของนาข้าวแบบขั้นบันได ระหว่างทางก่อนถึงศูนย์, การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ชมวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวเขา และการท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีอยู่มากมาย เช่น น้ำตกทีราชันย์ น้ำตกขนาดกลาง สูง 3 ชั้น ระยะทางห่างจากศูนย์ฯ 6 กิโลเมตร น้ำตกในเขตบ้านดงใหม่ สูง 5 ชั้น หนทางค่อนข้างลำบากจึงควรติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อน น้ำตกทีลอเล สูง 5 ชั้น ระยะทางจากศูนย์ฯ 15 กิโลเมตร เดินเท้าต่ออีก 3 กิโลเมตร เหมาะสำหรับการเดินชมธรรมชาติและพรรณไม้ป่า
            ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ลาน้อย บ้านดง หมู่ 5 ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โทรศัพท์ 0 5361 9533-4 หรือ 08 3324 3062
20. เก็บสตรอว์เบอร์รี

20

            ปิดท้ายการแนะนำที่เที่ยวเหนือหน้าหนาวด้วยการไปเก็บสตรอว์เบอร์รีจากไร่สด ๆ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งของการมาเที่ยวเมืองเหนือ บรรยากาศหนาว ๆ โดยสถานที่เก็บสตรอว์เบอร์รีก็มีอยู่หลากหลายที่ เช่น ไร่สตรอว์เบอร์รีวงศ์วาน ตั้งอยู่กลางหุบเขา อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ โทรศัพท์ 08 5712 0901, 08 1796 3576 หรือ strawberrywongwan.com, ไร่สะเมิงทอง สตรอว์เบอร์รีปลอดสารพิษ ตั้งอยู่ที่ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก ไร่สะเมิงทอง "สตรอเบอรี่ปลอดสารพิษ" เกษตรอินทรีย์ 100%, ไร่นภ-ภูผา ตั้งอยู่ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซิกเนเจอร์อันโดดเด่นของที่นี่ ก็คือ บ้านไม้เก๋ ๆ ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางไร่สตรอว์เบอร์รี ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ไร่นภ-ภูผา
          สวนดอยแก้ว ตั้งอยู่ที่ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ สวนสตรอว์เบอร์รีอินทรีย์ 100% อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสตรอว์เบอร์รี และจำหน่ายกล้าไหลสตรอว์เบอร์รีพันธุ์ดีด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก สวนดอยแก้ว suandoikaew, ไร่ไผ่สีทอง ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านแม่สาบ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ลองไปดื่มด่ำบรรยากาศของไร่สตรอว์เบอร์รีสะเมิงแท้ ๆ อีกทั้งสตรอว์เบอร์รีที่นี่ยังปลอดยาฆ่าแมลง 100% ทุกกระบวนการเพาะปลูก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่strawberrychiangmai.com และไร่สตรอว์เบอร์รีบนดอยอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีสตรอว์เบอร์รีผลโต ๆ หวาน ๆ ซึ่งเป็นของโครงการหลวงให้ชิม โดยคุณสามารถซื้อผลสตรอว์เบอร์รีติดไม้ติดมือกลับไปได้ (ราคาตามน้ำหนัก) ทั้งนี้ สตรอว์เบอร์รีที่ปลูก คือ พันธุ์พระราชทาน 80
เรียกได้ว่าจุใจ กับ 20 สถานที่ท่องเที่ยว ที่เราได้นำมาฝากกันแล้วใช่ไหม แบบนี้เพื่อน ก็คงมีการวางแผนพร้อมเลือกสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับขึ้นเหนือไปสัมผัส อากาศหนาวสักแห่งไว้พักผ่อนรับลมหนาว ส่งท้ายปีกันดีกว่า

ที่มา http://travel.kapook.com/view77426.html